“อ.เจษฎา” เตือนเลี่ยง “กระทงขนมปัง กระทงกรวยไอศครีม” หลังจากคนคิดผิดคิดว่าดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นปัญหา ทำให้น้ำเน่าเสีย พร้อมแนะแนวทาง “ลอยกระทง” ลดภาระสิ่งแวดล้อม
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โดยกล่าวว่า “เลี่ยงกระทงขนมปัง ทำลายสิ่งแวดล้อม”
วันอังคารที่ 8 เดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นวันลอยกระทง 2565 ซึ่งคาดว่าปีนี้ หลังจากที่ผ่อนคลายเรื่องมาตรการโควิด-19 แล้ว น่าจะมีคนออกไปร่วมเทศกาลปีนี้มากเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วมา และจำนวนของ “ขยะกระทง” ที่ไปลอยกัน ก็น่าจะมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก (จากที่เคยเยอะมากอยู่แล้วในแต่ละปี)
ก็เลยขอเตือนล่วงหน้าอีกครั้ง ว่าในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากให้ดีที่สุด
ก็ลอยกระทงออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ไปเลย แต่ถ้าหากยังจำเป็น ยังนิยม ไปลอยกระทงกัน ก็ขอให้เลือกกระทงที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่าไรนัก อาทิเช่น กระทงน้ำแข็ง หรือกระทงเทียน (เก็บขึ้นมาหล่อใช้ใหม่ได้)
และที่จะต้องเน้นกันทุกปี เป็น ขอให้เลี่ยงกระทงที่ย่อยสลายเร็วและให้สารอินทรีย์สูง เช่น กระทงขนมปัง กระทงกรวยไอศครีม อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นกระทงที่คนคิดผิดกันเยอะว่าดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นปัญหามากยิ่งกว่า ถ้าหากบริเวณ ที่ลอยนั้น ไม่ได้มีปลามากพอเพียงที่จะกินขนมปังกระทั่งหมด และส่งผลทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย ถ้าหากอยู่ในแหล่งน้ำที่ค่อนข้างจะปิด
ขอยกข้อคิดเห็นของ ดร.อาภา หวังเกียรติ ผู้ช่วยคณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่เคยเตือนว่า กระทงขนมปังถึงจะย่อยสลายได้ แต่ก็เป็นต้นเหตุทำให้มีการเกิดน้ำเน่าได้
สาเหตุเนื่องจากขนมปังเป็นประเภทสิ่งที่เป็นสารอินทรีย์ ซึ่งสารอินทรีย์ก็คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โดยธรรมชาติถ้าหากสารอินทรีย์พวกนี้ลงไปอยู่ในแม่น้ำ มันก็จะมีจุลินทรีย์พวกแบคทีเรียมากินเป็นอาหาร ถ้าหากใช้กระทงขนมปังลอยน้ำในปริมาณมาก จุลินทรีย์ในน้ำพวกนี้จะดึงออกซิเจนในน้ำมาใช้เพื่อกระบวนการทำงานของพวกมัน เมื่อใช้ออกซิเจนในน้ำมากไป จะเปลี่ยนเป็นที่มาของน้ำเน่าเสียได้
ขอยก “7 แนวทาง ในการลอยกระทงเพื่อลดภาระสิ่งแวดล้อม” ของสถาบันสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย มาเผยแพร่ดังนี้
1. ไปด้วยกันใช้กระทงเดียวกัน อย่างเช่น ครอบครัวละหนึ่ง คู่รักละหนึ่ง กลุ่มละหนึ่ง เพื่อ “กระทงจะได้ไม่หลงทาง” เป็นการลดจำนวนกระทงที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำ และเป็นภาระจัดเก็บหลังเสร็จงาน และช่วยประหยัดสำหรับคนที่จะซื้อกระทงอีกทางหนึ่งด้วย
2. เลือกใช้วัสดุธรรมชาติ โดยใช้หยวกกล้วย กาบกล้วย ใบตอง นำเป็นประดิษฐ์กระทง ประดับด้วยกลีบบัวหรือดอกไม้ กระทง กลัดด้วยไม้แทนเข็มหมุด ในลักษณะนี้จะไม่ย่อยสลาย หรือจมลงเร็วเกินไป สามารถจัดเก็บและนำไปกำจัดได้ง่ายภายหลังเสร็จงาน หรือแม้มีบางส่วนที่เล็ดลอดออกสู่สิ่งแวดล้อมก็สามารถย่อยสลายได้
3. เลี่ยงการใช้วัสดุกระดาษ ซึ่งบางทีอาจจมน้ำหรือเปียกน้ำ แล้วจะยุ่งยากสำหรับในการจัดเก็บ เท่ากับเป็นการสูญเสียทรัพยากรไป และควรที่จะนำไปรีไซเคิล ที่เกิดประโยชน์มากกว่า
4. เลี่ยงการใช้วัสดุพวกแป้งพวกขนมปัง ที่ตั้งใจจะให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ แต่วัสดุพวกนี้ซับน้ำได้เร็ว ยุ่ยง่าย จมเร็ว และเป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้เร็ว ถ้าหากมีจำนวนมาก สัตว์น้ำไม่สามารถกินได้หมด จะก่อให้แหล่งน้ำเน่าเหม็นเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการเพิ่มความสกปรกให้แหล่งน้ำ โดยเฉพาะอย่างในสระน้ำ บึง หรือหนองน้ำที่น้ำไม่ไหลเวียน หรือแหล่งน้ำนิ่ง
5. ควรเลือกวัสดุประเภทเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการแยกกระทงไปจัดการต่อของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เมื่อได้ทำการจัดเก็บหลังเสร็จงานแล้ว เช่น ทำจากใบตองหรือวัสดุธรรมชาติเป็นอินทรีย์ทั้งกระทง
6. งดการวัสดุพลาสติกและโฟม ซึ่งเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก พลาสติกบางชิ้นและโฟมไม่เหมาะสมในการนำไปรีไซเคิล ถ้าหากเล็ดลอดสู่แม่น้ำและทะเล แล้วก็จะใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย เมื่อปีที่แล้วมายังเจอการใช้กระทงโฟมอยู่บ้าง ปีนี้ก็เลยขอความรวมมืองดการใช้อย่างเอาจริงเอาจัง
7. งดใช้ลวดแม็กซ์หมุดตะปู ในการยึดวัสดุทำกระทง ด้วยเหตุว่าสิ่งพวกนี้บางทีอาจหลุดและตกลงสู่แหล่งน้ำ ก่อให้เกิดอันตรายได้และถ้าหากจัดเก็บกระทงมาได้ก็ยากในการคัดเพื่อนำไปจัดการอย่างถูกวิธี จำเป็นต้องใช้ไม้กลัดจากวัสดุธรรมชาติแทน